วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

รีวิว Malaysia 2022 : เก็นติ้ง - กัวลาลัมเปอร์ ฉบับครอบครัว 3 คน พ่อแม่ลูก งบไม่เกิน 30,000 บาท (รวมตั๋วเครื่องบินแล้ว)

รีวิว Malaysia 2022 
Period : 12 - 15 July 2022 (4 Days 3 Nights) 
Route Line : KL --> Genting Highlands --> KL

   จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้เราต้องหยุดการเดินทางไป 2 ปีกว่าๆ ผมพยายามหาทริป เพื่อวัตถุประสงค์ในการปัดฝุ่นภาษาอังกฤษของลูกและของตัวเอง ด้วยการใช้งานจริง และสัมผัสอากาศที่เย็นสบายกว่าที่ไทย หวยจึงมาออกที่ มาเลเซีย โดยเฉพาะ เก็นติ้ง ซึ่งเป็นที่ที่เราดูแล้วว่าอุณหภูมิเฉลี่ยไม่เกิน 25 ºC และที่สำคัญการเที่ยวของครอบครัวเราเน้นค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องแพง เดินทางเอาตัวรอดด้วยขนส่งสาธารณะเป็นหลัก และเที่ยวให้คุ้มค่าที่สุด แนว Backpack ในงบไม่เกิน 30,000 บาทครับ (เน้นประหยัด ไม่เน้นหรู)

การเดินทางที่เราเลือกในทริปนี้

✅✈ เครื่องบินสายการบิน Air Asia จากสนามบินสุวรรณภูมิ ไป KL (KLIA2)  - ราคาไปกลับ 3 คน ⁓12,200 B (รวมอาหาร 3 คน ไม่รวม น้ำหนักกระเป๋า)

🚈KL Express จากสนามบิน KLIA2 ไป-กลับ KL Sentral : จองผ่าน Klook - ราคา 3 คน ⁓1,998 B

✅🚠Cable Car @Genting  : จองผ่าน Klook - ราคา 3 คน ⁓253 B (31 RM)

🚌Bus จาก KL Sentral ไป-กลับ Genitng Highlands  : จองผ่าน Redbus website - ราคา 3 คน ⁓530 B (ุ65 RM) : https://www.redbus.my/

📱ตัวช่วยการเดินทาง Application : KL Transit เอาไว้ดูรอบรถไฟฟ้า ไปได้ทุกที่ใน KL เราไม่ได้ใช้ Grab เลยในทริปนี้

Internet Roaming เปิดบริการของเบอร์มือถือเราได้เลยครับ เราซื้อ package 99 บาท ใช้ได้ 7 วันครับ ใช้ app ติดต่อ เช่น ไลน์ไว้โทรหากัน ประหยัดมากๆ ไม่ต้องไปซื้อซิมใหม่เลย เผื่อติดปัญหาแล้วต้องแก้เสียเวลาเดินทางครับ


เอกสารสำคัญสำหรับการเดินทาง (สำคัญมาก)

📱 Mysejahtera application ข้างในที่ต้องมีรายละเอียด vaccine ที่ upload เข้าไปใน app แล้วสามารถกรอก Traveller card ได้ก่อน 7 วันล่วงหน้าครับ ถ้ามีลูกก็เพิ่มใน manage dependent ครับ
✅📙Vaccine passport จะเป็นเล่มเหลือง หรือสามารถใช้ e-passport ที่ขอจากหมอพร้อมได้ครับ

สำคัญอีกอันคือ Traveler Card ของผมใช้ SCB planet สะดวกสบาย แตะจ่ายได้เลยครับ ไม่มีค่าเงินRMให้แลกในบัตร แต่สามารถใช้เงินไทยเติมเข้าไปแล้วให้ตัดเงินได้ เรตไม่แพงครับ confirm
แลกเงินสดไปด้วยสักนิดครับ เพราะหลายๆร้านก็รับเงินสดครับทั้งที่ GPO และ First World

ที่พัก (👍สะดวกต่อการเดินทาง โดยขนส่งสาธารณะ)

Genting Highlands 2 คืน : Awana World Resort ราคา 3,300 บาท ตกคืนละ 1,650 บาท
KL 1 คืน : NU Hotel 900 บาท กว่าๆนิดๆ 

อุปกรณ์ป้องกัน COVID-19

Mask 2 ชั้นครับ ชั้นในเราใช้แบบทางการแพทย์ ชั้นนอกใช้แบบ KF ที่กระชับหน้าครับ ใช้ที่ Genting นี่ไม่มีปัญหาเลยอากาศเย็นสบายสุดๆ และพอกลับมา KL ที่อากาศร้อนสุดๆ ทำให้เหนื่อยง่ายไปเลย

แอลกอฮอล์ ถ้าใครต้องพกติดตัวตลอดแนะนำติดไปจากไทยครับ เพราะที่นั่นหาซื้อยากมากครับ โดยเฉพาะแบบแอลกอฮอล์น้ำ นี่หาซื้อไม่ได้เลย แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสก็ตามจุดต่างๆที่เราไปเที่ยวก็จะมีที่กดอัตโนมัติครับ


Day1 @ BKK → KL → Genting Highlands

     ครั้งนี้เราไปกับสายการบิน Air Asia เครื่องบินตอน 6:30 a.m. เราก็เลยมาฝากท้องและนั่งรอที่ Lounge ของ King Power ก่อนที่ gate จะเปิด สำหรับ AirAsia จะไปลงที่ KLIA2 ทุกลำครับ ที่นี่เป็น Hub ของ AirAsia ครับ





หลังจาก COVID-19 การเสริฟอาหารภายใน Lounge ของ King Power จะเป็น Set ครับ ไม่บุฟเฟต์แล้ว

หลังจากลงเครื่องมาตอน 10:10 a.m. ก็รีบเดินเข้าไปที่ ตม. ทันทีครับ.......หลังจากรอ ตม. ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ออกจาก ตม. 11:20 a.m. ทำให้เราไปไม่ทันรถบัสที่เราจองเวลาเอาไว้ที่ KL Sentral😭 ผิดแผนไปแล้วหนึ่ง ดังนั้นถ้ามาที่นี่ อย่าเพิ่งไปจองเวลาที่กระชั้นชิดกับรถ Bus นะครับ เพราะโอกาสพลาดแบบผมสูงมาก เผื่อซัก 3 ชั่วโมงก็ดีครับ 



ออกจาก ตม. ก็เดินตามป้ายมาหา KLIA Express เพื่อนั่งรถไฟเข้าเมืองครับ ไป KL Sentral ตามที่เราต้องการ เราทำการจองผ่าน Klook มาแล้ว ดังนั้นใช้ QR code ที่ได้มา scan ที่ทางเข้าได้เลยครับ print มา หรือใช้จากมือถือเลยได้เลย

ลงมาด้านล่างเพื่อขึ้นรถไฟขบวน KL Express ไม่ต้องตกใจครับ ณ ตอนนี้ไม่มีการแบ่งครับ สามารถขึ้นได้เลยจอดทุกสถานี จะใช้เวลาประมาณ 45 นาทีจากที่ KLIA2 ไป KL Sentral สถานีสุดท้ายครับ

ที่นั่งข้างในกว้างขวางดีครับ มีที่วางกระเป๋าใบใหญ่ให้ด้วยครับ ภายในมีที่ charge และสามารถใช้ WIFI ในขบวนรถได้เลยครับ

มาถึง KL Sentral เวลา 12:30 p.m. แล้วไปที่ทางออก Exit ด้านซ้ายมือครับ ลงไปชั้นล่างจะเจอที่ขายตั๋วรถ และที่ขึ้นรถได้เลย

ที่ขึ้นรถครับ เราขึ้นรถของ Resort World Genting เพราะมาไม่ทันรอบรถที่เราจอง  ซื้อพร้อมตั๋วขึ้นกระเช้าอีกใบไปเลย 
ค่าตั๋ว Adult 10 RM + 10 RM (Cable Car) = 20 RM  และ Child 7 RM + 10 RM (Cable Car)
สรุปแล้วเสียตรงนี้ไปอีก 57 RM (456 B) เพราะเราติดแถว ตม. เป็นชั่วโมงทำให้แผนเราผิดพลาดไปหมด แต่ช่างมันครับเรียนรู้กันไป ปรับแผนกันไป สนุกดีครับ รอบเวลาที่ขึ้น 13:45 p.m. รอบนี้คนน้อยมากครับ (แนะนำ ถ้าไป Genting ช่วงเช้าคนจะเต็มคันครับ ถ้าไม่รีบ ไปช่วงบ่ายก็ดีนะครับ คนน้อยนั่งสบายครับ

รถบัสของ Resort World Genting เบาะปรับนอนได้แทบจะ 180 องศา สบายมาก ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงนิดๆ



เราพักกันที่ Awana World Resort 2 คืน ราคา 3,300 บาท ตกคืนละ 1,650 บาท 
เหตุผลที่ผมเลือกที่นี่
1. ราคาต้องไม่แพงเกินไป ราคา 1,650 บาท/คืน รับได้ ถึงแม้ไม่มีอาหารเช้าครับ

2. มีรถ Shuttle Bus ฟรีสำหรับลูกค้าโรงแรม ตามรอบเวลา แค่นี้ก็ซื้อละครับ เพราะผมใช้ในการ
เดินทางระหว่าง Awana Skyway เพื่อไปเดินเล่น และกินข้าวที่ Genting Premium Outlet (คนท้องถิ่นจะเรียก GPO) รวมทั้งขึ้นกระเช้า (ถ้า รร.อื่นๆ ผม Direct คุยกับหลายๆ รร. โดยตรงเรื่องการเดินทาง จะมีรถ Shuttle Bus วิ่งตามรอบเวลา เสียคนละ 5 RM) ถ้าหลายรอบนี่ก็เอาเรื่องนะครับ

3. รร. เหมือนจะเก่านิดนึงเพราะสร้างมานาน แต่สะดวกสบายมาก ถ้าใครชอบไปเที่ยวในไทยแล้วพัก รร. ใหญ่ๆของแต่ละจังหวัด อารมณ์คล้ายๆกันครับ (ถ้าใครชอบแนว modern loft แนะนำที่อื่นครับ)

4. ถึงจะพลาดเที่ยวรถ Shuttle bus ของ รร. ก็ยังสามารถเดินลงเขาจาก GPO มาได้ ผมเดินกันมาแล้ว พ่อ แม่ ลูก สนุกดีครับ เดินไปคุยกันไป เหนื่อยหน่อย เจ็บเล็บเท้า 5555 แต่เราก็ยังยิ้มและสู้กันต่อครับ (จะเรียก Grab ก็ได้นะครับ แต่เราขาลุยครับ)

นั่ง Shuttle Bus ฟรีของ รร. มากินข้าวเย็นกันที่ Genting Premium Outlet

@Food Court : อาหารโปรดสำหรับเด็กเลยครับ มาเลเซียนี่ลูกชายชอบมาก เพราะไก่ทอดอร่อยมาก จัด Marry Brown ที่เป็น Local Brand ที่มีหลายๆคนแนะนำ โดนไป 17.5 RM (อาหารที่ Genting ราคาจะสูงกว่าที่ KL ครับ)

@Food Court : มาถึงนี่พ่อ กับ แม่ ก็จัดข้าวแกงรสชาติมัสมั่น รวมกับลูกชิ้นปลาอีก 3 ไม้ ราคาทั้งหมด 34 RM ร้านอาหารฟีลประมาณร้านข้าวแกงของไทย

เห็นวิวของ รร. เรา Awana World Resort

ระหว่างทางเดินกลับ รร. ตอนลงเขา เจอป้ายนี้ อากาศ 19 ºC กับต้นสนเรียงเป็นทิวแถวนี่ให้บรรยากาศ ฟินสุดๆไปเลยครับ หลับสบายไปเลยครับ เดินจนหมดแรง 555555 ถ้าใครปรับกล้องเป็น mirror image ได้จะสวยมากมาย (🚶16,000 ก้าวในวันนี้)

Day2 @ Genting Highlands (Cable Car Day!!!)

   หลังจากโดนที่นอนดูดวิญญาณเข้าไป  วันนี้ตื่น 7 โมงเช้ามารับอากาศหลังห้อง พร้อมกับวิวทิวเขาที่ชอบมากๆ เอาจริงๆนั่งอ่านหนังสือดีๆสักเล่ม กับกาแฟดีๆสักแก้ว ก็เพียงพอละครับ วันนี้อากาศ 18 ºC ครับ

วิวหลังห้องที่เต็ม 10 ให้ 10 ครับ เช้ามาจัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของ Local Brand ก่อนเลยครับ Ayam รสไก่ กับ ต้มยำ เอาจริงๆนะสู้ของไทยไม่ได้เลย แต่ก็กินกันเพื่อรองท้องไปก่อน ขึ้นรถรอบ 9:00 a.m. แนะนำให้ไปยืนรอคิวก่อนเลยครับ เพราะจะมีเจ้าถิ่นตัวแทรกคิว รออยู่ แบบประมาณ กรูมาตรงเวลาแล้วเดินขึ้นรถแซงคนอื่นหมดเลย ไม่สนใจคิว เป็นที่ทุกที่ของที่นี่จริงๆครับ 

หลังจากมาถึงที่โดยรถ Shuttle Bus ประมาณ 15 นาที ก็มาถึง Awana Skyway เราก็ตัดสินใจเดินข้ามฝั่งมาหาของกินก่อนที่ Genting Premium Outlet เดินหากาแฟ Old Town ที่เมื่อวานเย็นเล็งเอาไว้ เปิดพอดีเลยครับ จริงๆเปิด 10 โมง พอดีเค้าเห็นมีเด็กมาด้วยเลยให้เข้าไปนั่งสั่งอาหาร และเครื่องดื่มได้ก่อนครับ

สั่งกาแฟที่เป็น Signature ของเค้ามาเลยให้เค้าแนะนำครับ ปกติชอบดื่ม Americano แบบไม่ใส่น้ำตาล พี่ท่านจัดให้เลย Old Town Black Coffee เรียบร้อย 7.9 RM นี่มันโอเลี้ยงชัดๆ เลยนี่นา 55555555 ส่วนเจ้าลูกชายก็โดนไปไส้กรอกไก่ 6.9 RM อร่อยฟินกันไปตอนเช้า

หลังจากอิ่มแล้วก็ขึ้นไปขึ้นกระเช้ากันครับ!

การขึ้นกระเช้า: แนะนำให้จองตั๋วมาก่อนครับ ถ้ามารอบเช้า คนเยอะมากตรงที่ซื้อตั๋วกระเช้าครับ เราจองตั๋วผ่าน Klook มาได้ราคาถูกกว่านิดหน่อย แต่รวดเร็วไม่ต้องไปรอคิวครับ สามารถ scan QR code เดินเข้าไปเลยครับ ที่สำคัญการติดต่อกับพนักงานทาง chat ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนก็ทำได้สะดวกมากครับ พนักงานจัดการให้เรียบร้อย ไม่ว่า Pass อะไรก็ตามผมซื้อของ Klook มาหลายครั้งมากๆครับ ของเค้าดีจริงๆไม่ได้อวยนะครับ

เราใช้เวลา 15 นาทีในการเดินทางด้วยกระเช้าจากด้านล่างขึ้นด้านบนครับ ไม่ได้แวะวัด Chin Swee การนั่งกระเช้าที่นี่ วิวนี่สุดบรรยาย คนชอบท้าทายหมอกอย่างครอบครัวเรานี่ฟินไปเลยครับ อุณหภูมิ 18 ºC ให้ 10/10 เลยครับ เรื่องความคุ้มค่า 10 RM ต่อคน นี่ถูกมากกกกกกกกก ถ้าเทียบกับที่ สิงคโปร์ ข้ามไปเกาะ Sentosa นี่คนละเรื่อง คนละราคาเลยครับ ที่นั่นแพงมากครับ 

ความสูง ทะลุสายหมอก และเมฆไปเลย

ออกมาเดินเล่นที่ตรงทางเข้า Outdoor Theme park ตรงนี้ไม่เสียเงินครับ แต่ถ้าเข้าข้างในต้องซื้อตั๋วพร้อมเครื่องเล่น ราคาไม่แพงเท่า Universal Studio ครั้งหน้ารอลูกชายความสูงถึงเกณฑ์ที่สามารถเล่นได้หลายเครื่องเล่นค่อยมาซ้ำ วันนี้เดินซึมซับบรรยากาศกันไปก่อน อากาศแบบนี้คนเยอะก็ไม่หงุดหงิดครับ คล้ายกับที่ญี่ปุ่นเลย รอคิวนานแต่อากาศดี ให้อภัยครับ แต่ที่สิงคโปร์ รอแล้วแทบอยากจะคลั่ง 555555

กลับเข้ามาในโซน Indoor Theme park ครับ เราเลือกเล่นที่นี่เพราะตอบโจทย์ลูกชายที่สุดครับ ผมปล่อยให้เค้าเดินเลือกและตัดสินใจเองเลยครับ อยากเล่นอันไหนคิดเอาเอง และลองไปดูพี่เค้าเล่นกันก่อนว่าเราไหวไหม ถ้าไหวให้สังเกตป้ายความสูง และราคาค่าตั๋ว ผมให้เค้าอ่านเองทุกอย่าง ลองศึกษาการใช้เครื่องซื้อ Ticket อัตโนมัติ ตรงจุดซื้อตั๋วแบบ Cash นี่คนเป็นล้าน ตู้อัตโนมัตินี่แทบไม่มีคนเลย เสร็จสิครับรออะไร (เรามีตรงนี้ รีวิววิธีการให้ดูด้วยครับ จะได้ไม่ต้องไปรอกันครับ) เราต้องการให้เค้าฝึกภาษาอังกฤษที่เรียนใน รร. มาครับ แล้วเค้าก็ทำของเค้าเองได้หมด ครั้งนี้มาไม่เสียเที่ยวจริงๆครับ 

ร้องเล่นอันนี้อันแรก หลังจากเห็นพี่ๆขึ้นไปแล้วทำหน้าใกล้จะอ้วกบนเครื่องเล่น ลูกชายขอบายทันทีครับ 55555


มา Happy กับ Balloon race กับคุณแม่น่าจะมันส์กว่า 5555 สรุปส่วนใหญ่เล่นไม่กี่อย่าง เครื่องเล่นข้างในก็ปิดปรับปรุงหลายเครื่อง เอาเป็นว่าก็ถือว่าคุ้มแล้วครับ มาเดินดูแสงสี ผมเลือกที่จะไม่ซื้อ 1 day pass เพราะรู้ว่าเค้าไม่น่าจะเล่นทั้งหมด และเราก็จ่ายแค่บางส่วนเท่านั้น อันไหนต้องมีผู้ปกครองขึ้นด้วยเราก็จ่าย สรุปเล่นไปยังไม่ถึง 45 RM (360 B) เล่นได้ทั้งพ่อ แม่ ลูกเลย ลองชั่งน้ำหนักดีๆละกันครับ บางครอบครัวสายบู๊เล่นทุกอันก็ซื้อแบบ 1 day pass คนละ 400 B ก็คุ้มครับ เห็นหลายๆครอบครัวของมาเลย์ ซื้อให้ลูก 1 pass แต่เล่นเครื่องเล่นไม่ได้เยอะครับ พ่อ แม่ ต้องไปซื้อของตัวเองเพิ่มอีก.....งบบานปลายแน่นอนครับ




ในส่วนของอาหารกลางวัน @First World จะมีร้านให้เลือกหลายร้านครับ เราสามารถเดินดูเมนูและราคาก่อนตัดสินใจได้ หลังจากเดินดูทุกร้านแล้ว ผมและครอบครัวเลือกร้าน Sakura ครับ ร้านนี้มีเมนูอาหารหลากหลายชนิด และที่สำคัญ เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋าครับ หลายๆร้านที่นี่ใช้ Robot ส่งอาหารเยอะมาก ถูกใจลูกชายผมจริงๆครับ เค้าสาย Robot ชอบเทคโนโลยีมากๆ ที่นี่ก็ทำให้เค้าตื่นตาตื่นใจได้ดีกว่าเล่นเครื่องเล่นอีก 5555 ค่าเสียหาย 3 คนอยู่ที่48 RM อิ่มแทบจะเดินไม่ไหวครับ

หลังจากเตร็ดเตร่อยู่ข้างบน Genting จนอิ่มหนำใจแล้ว เราเลยขอนั่งกระเช้ากลับลงมาหาอาหารเย็นทานที่ GPO ก่อนกลับเข้าที่พักครับ   


เราเล็งร้านนี้ไว้ตั้งแต่วันแรก แต่พลาดครับ ครอบครัวเราไปถึงประมาณ 17:30 p.m. แต่เค้าปิดพัก 1 ชั่วโมงนะครับ เล่นเอาเซ็งมาก แต่วันนี้ไม่พลาดครับ 555 และหลังจากที่ได้กินแล้วก็ไม่เหลือแม้แต่น้ำราดไก่ เอาจริงๆกินไก่ทุกวัน จนเก๊าจะกินละครับ


ก่อนกลับที่พัก ขณะที่แม่กับลูกเดิน Shopping เราก็เอา Voucher ที่จองรถ Bus ผ่าน website Redbus มาออกตั๋วจริงเพื่อเดินทางกลับ KL Sentral ในวันพรุ่งนี้
Counter อยู่ที่ชั้นล่างสุด ตรงที่รอรถครับ มองหาง่ายมากไม่ต้องกลัวครับมีที่เดียว กระบวนการนี้ผมแนะนำให้ทำก่อนเดินทางล่วงหน้าครับ เพราะเจ้าหน้าที่ที่ Counter อาจจะไม่อยู่ตอนที่คุณต้องการเค้า 
 (🚶18,000 ก้าวในวันนี้)

Day3 @ KL 

     วันนี้เรากลับเข้า KL เพื่อไปตึก Petronas Tower ครับ โดยเราพักที่ รร. ใกล้กับ KL Sentral ชื่อ รร. NU Hotel ที่พักดีใช้ได้เลยครับ ห้องอารมณ์ Business hotel ครับ แต่สะดวกสบาย ราคาไม่แรง 900 B/คืน ไม่มีอาหารเช้าครับ แต่ใกล้ๆ กันมี 7-11 และ KK mart และ รร. มีร้านอาหารเยอะครับ แถวนี้จะเป็นย่าน Little India ครับ อยู่ใกล้กับ Monorail KL Sentral เดินทางไป Bukit Bintang สบายๆครับ รร. มีค่า Deposit 50 RM เตรียมตรงนี้ไปด้วยครับ หลายๆโรงแรมจะมีค่าใช้จ่ายตรงนี้อยู่ด้วย ได้คืนตอน Check out ครับ
 

ก่อนกลับขอลองกาแฟ Americano แบบ Medium Roast โอเคเลยครับ เพิ่งเจอแบบนี้ที่แรกสำหรับทริปนี้ 555 ใกล้ตัวจริงๆ 11 RM ถือว่าราคาแรงพอสมควรเลยครับ ถ้าเทียบกับที่อื่นๆ 

ได้เวลา Bye Bye Genting แล้วครับ!

นั่ง shuttle bus ออกจาก รร. มาถึงสถานี ให้เอา Ticket เรามาเทียบกับเลขรถนะครับว่าอยู่ ต้องขึ้นที่ Platform ไหน เพราะรถที่นี่จอดรับคนแป๊บเดียวจริงๆ ลองจับเวลาแล้วไม่เกิน 10 นาที สายชิว อาจจะตกรถแบบไม่รู้ตัวได้ครับ เตือนก่อนเลยครับ

Platform สำหรับกลับ KL Sentral

ระหว่างทางกลับ เห็น Petronas - Malaysia Tower - Merdeka Building 

 
มาถึง KL Sentral ไป Check-in ที่ รร. นอนพักกันสักพัก ก็ออกเดินทางไปตึก Petronas โดยใช้ LRT จาก KL Sentral สายสีแดงไปลงที่ KLCC แล้วก็เดินตามทางสัญลักษณ์ตึกครับ จะเจอห้าง Suria ครับ ถ้าเจอก็แสดงว่ามาถูกทางครับ
เจ้าลูกชายได้ของฝากตัวเองเป็นคนแรกเลย กับสมุดโน้ต Petronas ที่ร้านขายของฝากใช้ใต้ดินตึก Petronas

Mission Complete!!! ครบแล้วที่วางแผน ส่วนการเดินที่ Bukit Bintang นั้นไม่ได้อะไรมากเพราะขาลากมากครับ เอาไว้ค่อยกลับมาซ้ำคราวหน้าครับ (🚶20,000 ก้าวในวันนี้)

Day4 @ Back home


วันสุดท้าย จริงๆแล้วไม่อยากกลับ 555 ยังสนุกอยู่เลย ตื่นมาขึ้นรถตอน 7 โมงเช้า เพราะ เที่ยวบินเรา 10:10 a.m. นั่ง KL Express ที่จองเอาไว้ครับ สบายๆเลย ของกินที่สนามบินตอนเช้า มีหลายร้านที่เปิดครับ แต่ร้านสะดวกซื้อนี่ไม่จำเป็นอย่าเข้าตอน Rush Hour ครับ เพราะกว่าจะได้คิดเงินนี่รอไป 1 ชาติครับ
ถ้าใครอยากเที่ยวต่อในวันนี้จะมีไฟล์ทกลับช่วงค่ำๆ จาก KL ไป BKK ซึ่งอาจจะดึกไปหน่อยครับ ถ้าใครขึ้นดอนเมือง DMK จะมีหลายเวลาให้เลือกครับ 

       
        📑มาเที่ยวครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าจริงๆ ได้ใช้ภาษาอังกฤษทั้งทริป เบ็ดเสร็จค่าใช่จ่ายจริง 3 คนอยู่ที่ 28,000 B รวมค่าที่จอดรถสนามบินไปแล้วด้วย สำหรับผมแล้วมันมีค่ามากกว่าการจ่ายเงินให้ลูกไปเรียนพิเศษในห้องสี่เหลี่ยมครับ ถึงแม้เราจะหมดค่ากินไม่เยอะ แต่อิ่มทุกมื้อไม่ขาดเช่นกันครับ 
        เราใช้เวลาในทุกๆวันกับการเดินทางด้วยตัวเราเอง และเจออะไรใหม่ๆ อยากฝึกให้ลูกใช้รถสาธารณะเป็น ฝึกฝนเรื่องการดูเวลา และการอ่านป้ายบอกทางต่างๆ ครับ ทริปนี้จึงไม่มีการใช้บริการ Grab และไม่มีการเช่ารถขับแต่อย่างใดครับ ผมเชื่อว่าวันนึงที่เค้าต้องเดินทางเองเค้าจะเอาตัวรอดได้จาก Skill ที่เราฝึกให้ครับ ถึงแม้หลงบ้างผิดทางบ้าง แต่มันก็เป็นเสน่ห์ของการเที่ยวด้วยตัวเอง สายกินไม่หรูอยู่ไม่แพงอย่างเราก็สนุกได้ครับ

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ See you next trip!!!

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2562

รีวิว Hokkaido Summer 2019 : ฮอกไกโดหน้าร้อน 2562 ด้วย Hokkaido Rail Pass และเช่ารถขับเองในทุ่ง Lavender

Hokkaido Summer 2019 : ฮอกไกโดหน้าร้อน 2562

Period : 29 Jul - 6 Aug 2019 (8Days 7Nights)
Route line : Sapporo - Otaru - Furano - Hakodate



✈️ การเดินทางในครั้งนี้เราอยากไปสัมผัสกับทุ่ง lavender ในฤดูร้อนที่ Hokkaido และที่สำคัญลิ้มรสกับผลไม้ต่างๆโดยเฉพาะ Melon ที่เราชื่นชอบ นี่เป็นครั้งแรกในการไปเยือนเกาะเหนือสุดของญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกในการขับรถเที่ยวเอง ซึ่งก็ตื่นเต้นพอควร แต่เราก็เตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อให้การเดินทางของเราราบรื่นอย่างที่สุด แต่ถึงจะเตรียมตัวดีแค่ไหนความผิดพลาดก็เกิดได้เสมอ นี่คือเสน่ห์ที่เราหลงใหลกับการเดินทางเที่ยวด้วยตัวเราเอง... ☀️อากาศในช่วงนี้ร้อนในตอนกลางวัน แต่กลางคืนกับเช้าๆอากาศเย็นสบาย แต่งตัวเหมือนอยู่บ้านเราได้เลยครับ สูงสุด 30 oC การเดินทางระหว่าง 4 เมืองนี้อยู่ห่างไกลกันมาก โดยเฉพาะ Hakodate ถ้าไม่วางแผนเรื่องการเดินทางดีๆงบบานปลายแน่นอน แนะนำครับ Hokkaido Rail Pass ดีที่สุดครับ ครอบคลุมการเดินทาง กี่เที่ยวก็ได้ และสามารถจองที่นั่งได้ทุกสายรถไฟที่เป็นของ JR โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ แค่ไปกลับ Hakodate นี่ราคาเกินครึ่ง pass ไปแล้วครับ ราคา 24,000Y/p (ผมใช้เต็มที่แบบ 7 days ถ้าวันลดลงราคาก็ลดลงครับ) ผมซื้อ voucher จาก H.I.S tour ครับ เพราะมีส่วนลดเยอะสามารถสอบถามกับเจ้าหน้าที่ได้ครับ แล้วค่อยไปเปลี่ยนเป็นบัตรจริงที่ญี่ปุ่น เดินทางเองด้วยรถไฟที่ญี่ปุ่น ลองสักครั้งแล้วจะตกหลุมรักเอาง่ายๆครับ♥️

การเตรียมตัวของเราก่อนเดินทาง..........
  • แผนการเดินทาง ควรต้องวางไว้ล่วงหน้าก่อนเลยว่า จุดหมายคือที่ไหน เราจะสามารถวางแผนเรื่องที่พัก และการเดินทางทุกอย่างได้ครับ แนะนำมีแผนดีกว่าไม่มีแผนครับ แผนเราเป็นแบบนี้ครับ 
          30-Jul : New Chitose Airtport - Sapporo
          31-Jul : Sapporo - Asahikawa
          01-Aug : Asahikawa - Furano - Asahikawa (ขับรถเที่ยวเอง)
          02-Aug : Asahikawa - Sapporo - Hakodate
          03-Aug : Hakodate
          04-Aug : Hakodate - Sapporo - Otaru
          05-Aug : Sapporo
          06-Aug : กลับ Thailand Flight เช้า


  • Hokkaido Rail Pass ที่ซื้อมาจากไทย เข้าไปแลกพาสจริงใน JR office ในสนามบิน ให้เจ้าหน้าที่แค่นี้ก็ได้บัตรมาแล้ว เราก็เลยจองที่นั่ง Reserved seat สำหรับเข้า Sapporo ไปทีเดียวเลยครับ (ฟรีไม่ต้องเพิ่มเงินใดๆ) แล้วก็สาารถผ่านเข้า JR ได้เลยโดยไม่ต้องสอดบัตร เพียงแค่ยื่นให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานีดูเท่านั้น คือดีมาก......จริงๆแล้ว Pass นี้สามารถซื้อได้ที่ตัวแทนหลายเจ้าในไทย แต่เราซื้อกับ H.I.S เพราะช่วงนี้มีโปรโมชันครับ ซื้อตามงานท่องเที่ยวก็ได้ครับได้ลดเยอะพอสมควรครับ ใครมาเทียวญี่ปุ่นแล้วต้องเดินทางระหว่างเมืองด้วยรถไฟ แนะนำครับซื้อมาเถอะ การเดินทางจะประหยัดมากครับ
             JR Hokkaido Rail Pass มี 4 แบบ ราคาดังนี้
                  1. 3 days = 16,500Y
                  2. 5 days = 22,000Y
                  3. 7 days = 24,000Y
                  4. Flexible 4 days = 22,000Y
  • 🧢🚶🎒 การเดินทาง
    🚄 New Chitose Airport ➡️ JR Sapporo : ขบวนรถ Airport Rapid Train
    🚄 JR Sapporo ➡️ JR Asahikawa : ขบวนรถ LTD EXP Kamui
    ▪️เที่ยวชมดอกไม้ 🍃💐🌻🌹🍈🌽🍦
    🚙 Asahikawa ➡️ Furano ➡️ Biei : ขับรถเที่ยวเอง เช่ารถของ Nippon Rent a Car ผ่านทางตัวแทนในไทย Intouch Rental Car แนะนำดี สบายใจ หายห่วงครับ ผมเช่า รุ่น Honda N-Cube 600 cc. ขับเรื่อยๆไม่เกิน 50 km สนุกดีครับ และราคาก็ประหยัดดีครับ ราคารวมประกันที่ครอบคลุม ราคา ประมาณ 2,900฿ หน้าร้อนที่ Hokkaido ราคาสูงมากครับ
    🚄 JR Sapporo ➡️ JR Hakodate : ขบวนรถ LTD EXP Super Hokuto
    🚞 JR Sapporo ➡️ JR Otaru : ขบวนรถAirport Rapid Train
  • 🏨🛌 ที่พัก (หน้าร้อน ราคาจะสูงขึ้นมากครับ)
    Sapporo : Apa Hotel Susukino Ekimae ~2,600฿ ข้างล่างมี Lawson
    Apa Hotel Susukino ~2,600฿ ห้องกว้างมาก
    Asahikawa : Hotel Premier Cabin Asahikawa ~2,600฿ มีอาหารเช้าอร่อยและมีให้เลือกหลากหลาย และที่สำคัญใกล้แหล่ง shopping หลายที่ในละแวกนั้นครับ
    Hakodate : Smile Hotel ~2,900฿ อยู่ตรงข้าม JR Hakodate เลยครับ
  • 📱Application นำทางที่แนะนำเลยครับ TABIMORI และเว็บไซต์ Hyperdia สองอันนี้เอาอยู่เลยครับ เอาไว้ดูรอบรถไฟ และสถานที่ที่เราจะไป แค่นี้ก็อยู่รอดแล้วครับ

ครั้งนี้เราไปกับสายการบิน Air Asia เครื่องบินตอน 11:55 p.m. เราก็เลยมาฝากท้องและนั่งรอที่ Lounge ของ King Power ก่อนที่ gate จะเปิด

@Day#1 : ตะลุย Sapporo


แล้วก็มาถึงที่ New Chitose Airport เวลาประมาณ 8:30 a.m. ก็ออกมาจาก ตม.ก็เจอแมวเหมียวสีฟ้า มาต้อนรับเลย แอบแชะภาพหน่อยครับ


นำ Voucher Hokkaido Rail Pass ที่ซื้อมาจากไทย เข้าไปแลกพาสจริงใน JR office ในสนามบิน ให้เจ้าหน้าที่แค่นี้ก็ได้บัตรมาแล้ว เราก็เลยจองที่นั่ง Reserved seat สำหรับเข้า Sapporo




ย่าน Tanukikoji เป็นแหล่ง shopping ที่ใหญ่ใน Sapporo คล้ายๆกับที่ Dotonburi ที่ Osaka และ Otsu ที่ Nagoya ร้านขายของฝาก แฟชั่น และร้านอาหารเยอะมากมายครับ คิดอะไรไม่ออกเดินดูสักพักก็ได้ของติดไม้ติดมือกลับมา...


ร้าน WEGO อยู่ใน Tanukikoji เป็นร้านเสื้อผ้าแนวแฟชันของวัยรุ่นญี่ปุ่น เข้าไปมีแต่หนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่นทั้งนั้นเลย ราคาไม่ได้แพงมาก แล้วแต่ความชอบเลยครับ


ร้านเสื้อผ้าอีกร้าน จำชื่อไม่ได้ อยู่ถัดออกมาจาก Tanukikoji Block1 นิดนึงเป็นร้านเสื้อผ้าแนวแฟชันมีมือหนึ่งและมือสอง ราคาไม่แพงเลย เป็นอีกร้านครับที่เหมือน rare item น่าไปโดนครับ



มาที่นี่ก็ถึงบางอ้อว่า....ทำไมทุกทัวร์ที่มา Hokkaido จะต้องมี อิสระฟรีเดย์ shopping ที่ JR Sapporo...เคลียร์ทุกประเด็น มีห้างให้เดินตาแฉะ ขาลาก มีห้าง Apia Esta Stellar และร้านขายขนมของฝากเยอะมาก ผมเองเป็นแฟนคลับของ UNICLO (ชอบเฉพาะของ sales) อยู่แล้วมาที่นี่ไม่ผิดหวังจริงๆ
ถ้าใครวางแผน shopping ขอ set เอาที่นี่ไว้เป็นวันสุดท้ายของโปรแกรมไปเลยครับ...


🍚🥢อ่านรีวิวเรื่องของกินมาหลายรีวิว จริงๆแล้วเอาของที่ตัวเองชอบเพราะรสชาติไม่ต่างกัน แต่ที่ๆนึงที่อร่อยจริงจัง ถ้าใครรักหมูย่างแบบผม ที่นี่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ร้าน ippin อยู่ที่ JR Sapporo ห้าง Stellar ชั้น 6 อยู่แถวๆร้าน Muji หมูย่างกลิ่นหอมถ่านมากๆ เด็ดดวงไม่ต้องมีน้ำจิ้มใดๆหวานหอมกลมกล่อม ไร้ที่ติ...ยกให้เป็น The best of trip เลยครับ👍👍👍



ดูยิ่งใหญ่และสวยงามผสมผสานกับสวนสาธารณะ Odori ทียาวเหยียด เลยทำให้ทุกมุมของที่นี่ดูดีจริงๆ


เดินไปไม่ไกลจากสวน Odori ขึ้นไปทาง JR Sapporo จะพบกับสถานที่นี้ มีความเก่าแก่และดูมีมนต์ขลังดีครับ และก็ได้รูปถ่ายมุมขวัญใจมหาชน เห็นคนมุงเยอะๆก็ใช่แน่นอน


มุมเล็กๆในสวนที่ดูมีมิติและแสดงความรู้สึก ดูแล้วมีความสุขจัง




ถ้าใครมาเที่ยวช่วงหน้าร้อนที่ Hokkaido ไม่ควรพลาดผลิตภัณฑ์ที่มาจาก Melon ด้วยประการทั้งปวง น้ำปั่น Melon หอมหวานเปรี้ยวครบรส ฟินเวอร์มากกกก...


ทุกมุมของสวนสาธารณะนี้ มันดูดีจริงๆ


อีกกิจกรรมนึงที่สนุกสนานในการมาญี่ปุ่นทุกครั้งคือการเก็บตราประทับในสถานที่สำคัญๆ อันนี้เป็นความชอบโดยส่วนตัวเลยครับ ผมจะมีสมุดเล่มนึงติดไปด้วยตลอดเมื่อเจอตราปุ๊บก็กระโจนใส่ทันที มันเป็นความสนุกทีซ่อนอยู่ลึกๆ เมื่อเรามาเปิดดูมันอีกครั้ง ถ้าใครชอบก็ลองมองหาตราประทับได้ตาม Information center ครับส่วนมากจะมีทุกๆ และมีการ์ดต่างๆให้เราประทับและเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกได้ครับ



อีกหนึ่งความเก๋ไก๋ของญี่ปุ่นคือฝาท่อระบายน้ำที่จะมีสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในพื้นที่นั้นๆ



ฝากท้องเอาไว้หลายครั้งกับขนมปังร้านนี้ แอบเห็นมีเชฟชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นหลายคนเลยต้องขอลอง อร่อยทดแทนข้าวเช้าได้เป็นอย่างดี


ให้เริ่มต้นที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Odori แล้วไปสาย Tozei line ไปลงที่สถานี Miyanosawa ที่นี่เป็นป้ายสุดท้ายเลย 



ความตื่นเต้นรออยู่ตรงหน้าแล้ว Ishiya Chocolate Factory เคยกินขนมและซื้อเป็นของฝากShiroikoibito มาหลายครั้ง ได้มีโอกาสมาที่นี่สักครั้งนึง...Ishiya Chocolate Factory ลงที่สถานี Miyanosawa ที่นี่เป็นป้ายสุดท้ายเลย เดินตามทางใต้ดินจะมีบอกหมดเลยว่า Ishiya ไปทางไหน เดินไปไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงแล้ว


ใครเคยดูหนังเรื่อง Chocolate Factory นี่อารมณ์ประมาณนั้น แต่ของจริงไม่น่ากลัวนะครับ


ซื้อบัตรเข้าชมกันหน่อยครับ...600Y


นี่ไงไลน์ผลิตของอร่อยของเร


ผลิตไปได้เยอะแล้วนะนี่วันนี้


มีมุมสนุกสนานให้เด็กๆได้เล่นกันด้วย


มุมห้องโถงยอดฮิตที่ต้องยกกล้องขึ้นมาแชะ


โดนของหวานกันสักนิด


เก็บภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อยครับ...กาลครั้งหนึ่งที่ Ishiya



จบกันไปกับวันแรกของการเดินทาง ก่อนจะไปลุยทุ่ง Lavender และภูเขาสายรุ้งกันต่อไป...


@Day#2 : ไปตั้งหลักกันที่ Asahikawa ก่อนไปลุย Furano
At Tomita Farm, Furano ▪️Blue Pond▪️Shikisai no Oka, Biei

 📝ครั้งนี้เป็นการขับรถครั้งแรกในญี่ปุ่น มีความรู้สึกตื่นเต้นปนกับความกังวลและกลัวอยู่นิดๆ อ่านรีววิวและข้อกฎจราจรมาบางส่วน ไม่เท่ากับการขับจริงๆ😰 เตรียมทำใบขับขี่สากลไปด้วยครับ 505 บาท ทำได้ที่ขนส่ง ใช้เวลาไม่นานครับ รถรุ่นที่เราใช้คือ Honda N-Cube 600cc. ใช้อารมณ์การขับที่ไม่เหมือนบ้านเรา...แบบนี้แหละที่ต้องการ GPS ก็ใช้ง่ายเพราะเราแจ้งขอเป็น English version มี Map code ของสถานที่นั้นๆก็สบายครับ ครับตาม GPS ได้เลยไม่ลงทุ่งแน่นอน สังเกตได้ว่ารถที่ผ่านและตามกันมาขับแบบระมัดระวังกันมาก ป้ายสีเหลืองกันหมด เพราะข่าวรถชนที่ Furano 4 คันรวดเพิ่งเกิดแบบสดๆร้อนๆเลยต้องระมัดระวังสุดๆ ขับไปเรื่อยๆในเมือง 40 km. นอกเมือง 50 km. ทำตามกฏระเบียบเค้าดีที่สุดครับ
ขับไปเรื่อยๆวิวสองข้างทางมีการปลูกข้าวโพด ดอกไม้ พืชชนิดต่างๆมากมาย สวยงามมากๆ พอเข้าเขต 🌷🌻🌼🌳Biei และ Furano จะเริ่มมีสวนดอกไม้ข้างทางมาให้เห็น อย่างไรก็ตามเป้าหมายหลักเราคือ Tomota Lavender Farm เป็นที่แรก ที่อื่นๆค่อยว่ากันเพราะเวลาเรามีแค่วันเดียวใน Furano 



รถรุ่นที่เราใช้คือ Honda N-Cube 600cc. ใช้อารมณ์การขับที่ไม่เหมือนบ้านเรา...แบบนี้แหละที่ต้องการ GPS ก็ใช้ง่ายเพราะเราแจ้งขอเป็น English version มี Map code ของสถานที่นั้นๆก็สบายครับ ครับตาม GPS ได้เลย แต่ใครชอบขับรถแรงๆ มองข้ามรุ่นนี้ไปเลยครับ รุ่นนี้เหมาะกับการขับชิลๆครับ
เราใช้บริการรถเช่าของ Nippon Rent a Car ที่ Asahikawa โดยจองผ่าน Intouch Rental Car ซึ่งเป็นตัวแทนในไทยครับ บริการดีเยี่ยมครับ


ขับรถประมาณ 1 ชม. จาก Asahikawa มาทางเส้น 237 ไป Tomita Farm Map Code: 349 276 734


พอถึง Tomota Farm กลิ่นหอมของ Lavender ก็เข้ามาแตะจมูกโดยทันที กลิ่นที่ได้ผมได้สัมผัส ในไม่ใช่กลิ่น Lavender ที่เราเคยได้กลิ่นเลย กลิ่นที่สังเคราะห์กับกลิ่นธรรมชาติมันคนละเรื่องเลยจริงๆ เคยมีครั้งหนึ่งมีลูกค้าชาวญี่ปุ่นให้ผมทำผ้าพันคอที่มีกลิ่นของ Lavender ผมได้ทำตัวอย่างส่งไปให้ เค้าบอกว่าหอมนะแต่นี่ไม่ใช่กลิ่น Lavender วันนั้นผมยังไม่เข้าใจและก็ไม่เข้าใจจริงๆเพราะเรารับรู้กลิ่นจากน้ำหอม กลิ่นปรับอากาศ ซึ่งนั่นไม่ใช่เลย...
กลิ่นนั้นมันมีความหอมของกลิ่นไม้ลึกๆที่มีความหอมของ Lavender แทรกตัวอยู่ บอกได้เลยมันหอมแบบล้ำลึกจริงๆ ความรู้สึกเหมือนตอนเราเดินป่าแล้วได้กลิ่นต้นไม้ผสมดอกไม้ที่หอม แบบนั้นเลย...


ดอก Lavender ที่กำลังบานเต็มที่ จริงๆแล้วแปลงปลูก Lavender ในแต่ละปีอาจจะบานสวยงามในระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นอาจจะต้องเชคล่วงหน้าถ้าต้องการมาแล้วเจอความสวยงามแบบเต็มที่ [บันทึก Lavender บานเต็มที่ 01-Aug-2019] ส่วนใหญ่ในคู่มือการท่องเที่ยวจะบอกว่าราวๆกลางเดือน ก.ค. จะเป็นช่วงที่สวยที่สุด เรามาช่วงต้นเดือน ส.ค. ก็แอบหวั่นๆเหมือนกัน ว่ามันยังจะสวยอยู่มั้ย คำตอบ...









ร้านขาย Melon เลือกกินได้หลาย size ตามความอยากเลยครับ


Melon สายพันธุ์ Yubari หอมหวานฉ่ำ 250Y



Lavender Ice cream มีกลิ่นหอมของ Lavender ผสม Yogert อร่อยมากๆ จริงๆอยากได้ภาพสวยๆของ Ice cream กับเค้าบ้างแต่มันทันแล้ว


บรรยากาศภายในร้านขายของฝากที่อยู่ใน Tomita Farm มีผลิตภัณฑ์ดอก Lavender มากมาย บอกเลยว่ากลิ่นของจริงไม่เหมือนกัน Lavender ในที่ปรับอากาศที่เราใช้กันเลย



Lavender perfume...

ถ้ามาหน้าหนาวคงสวยงามแบบ Christmas event แน่ๆเลย...

📝 Blue Pond จะไปทำไม กับบ่อน้ำสีฟ้าๆแล้วไง??? คำถามนี้เกิดในหัวอยู่ตลอด...แต่ระหว่างทางที่ขับรถเข้าไปเริ่มรู้สึกได้ถึงความสงบ วิวสองข้างทางเป็นป่าสน ที่ดูราวกับว่าจะเป็นดินแดน Planet of Apes...พอมาถึงที่จอดรถพบว่าคนเยอะมาก เยอะสุดคือจีน และคนญี่ปุ่น...เป้าหมายเดียวคือบ่อน้ำสีฟ้าที่มีต้นโกงกางยืนต้นตาย...
ภาพที่ได้เจอมันคนละความรู้สึกเลย...มันสวยจริงๆ ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่สวยมากๆ สีฟ้าแบบไม่ต้องใช้แอพใดๆทั้งสิ้น...อุบัติเหตุที่สวยงาม!!! คำนี้น่าจะบรรยายได้ครบรสครับ (ป.ล. Blue Pond ไม่เสียค่าเข้าชมครับ) "Map Code : 349 596 454"


This area is blue.....
มาถึงแล้ว Blue pond ขับรถมาจาก Tomita Farm ไม่ไกลมาก ประมาณ 20 กม. ไม่คิดว่านักท่องเที่ยวจะเยอะได้ขนาดนี้




คือมันสวยจริงๆนะ ถ้ามาแถวๆ Biei ลองแวะมานั่งเล่นสักพักก็ได้ อาจจะได้รับพลังบวก กลับไปไฟต์ในเรื่องต่างเช่นเดียวกับผมก็ได้...


📝สายรุ้งที่ตามหา🌈 ที่นี่เองเป็นที่สุดท้ายของทริปขับรถเที่ยว จริงๆแล้วแต่ละที่อยู่ไม่ไกลกันมากแต่ด้วยความเร็วรถที่จำกัด และเราใช้เวลากับแต่ละสถานที่แบบเต็มที่ ไม่ชะโงก-แชะ-กลับ เลยได้ที่เที่ยวแค่ 3 ที่แต่ก็คุ้มจริงๆ 

Shikisei no Oka farm ที่นี่มีดอกไม้ปลูกเหมือนพรมสีรุ้งปูทับภูเขาลูกหนึ่ง มันสวยงามจากระยะไกล ยิ่งเข้าใกล้ความสวยก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ รูปถ่าย magazine postcard ที่สวยๆที่ถ่ายจากที่นี่พอมาดูของจริงมันเทียบกันไม่ได้เลยครับ...

ที่ฟาร์มนี้เสียค่าเข้าครับ แต่มันคือค่าที่จอดรถนั่นแหละครับ 500Y/คัน ก็ถือว่าช่วยค่าปลูกต้นไม้ละกันครับ มันสวยมากๆและต้นไม้เยอะมากๆ มาถ่ายรูปที่นี่ถ่ายมุมไหนก็สวยครับ "Map Code : 349 701 215"



ขับรถจาก Blue pond มาประมาณ 20 นาทีก็จะมาถึง สวน Shikisai no Oka ซึ่งเป็นที่ที่มักจะอยู่ในเอกสารโปรโมทการท่องเที่ยว ความเป็นพรมสีสายรุ้งบนเนินเขา และผมก็ได้มาที่นี่สักที เคยเปิดโบรชัวร์และเคยตั้งใจว่าสักวันนึงจะมายืนตรงนี้...ถึงแม้ความตั้งใจมันจะผ่านมานานหลายปีมาก...แต่มันก็ไม่เคยลืม...







สะดุดตากับนอกไม้อันนี้ที่แฝงตัวกับดอกอื่นๆที่มีสีสันสดใส...นั่งจ้องแล้วทำให้นึกถึงไอเย็น ของหน้าหนาวเลย...



ที่นี่มีโซนถ่ายรูปเยอะมาก ถ่ายยังไงก็สวย ส่วนรูปหุ่นฟางที่เป็นจุด checkin คนเยอะเกินเลยอดรูปสวยๆกลับมา แต่ภาพถ่ายที่สวยขนาดไหนมันเทียบไม่ได้กับการสัมผัสมันจริงๆ...
บางครั้งเรารอพร้อมทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้ มัน perfect ทุกอย่างคงไม่ได้...การได้เดินทาง มันอาจจะสร้างแรงบันดาลใจเพื่อกลับมาสร้างความพร้อมในเรื่องต่างๆก็เป็นได้ใครจะรู้... 
ผ่านไป 3 ที่เราใช้เวลานานมากกับแต่ละที่ เพื่อให้เราสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบไม่เร่งรีบ คุ้มค่าจริงๆ....เฮ้อหมดไปอีก 1 วัน

@Day#4&5 : ล่องใต้ไปกับสายลมที่ Hakodate
Seafood Morning Market▪️Mt.Hakodate▪️Hachiman-saka ▪️Redbrick Warehouse

🚄 Hokkaido rail pass : Super Hokuto จาก Sapporo ไป Hakodate อย่าลืม reserved seat เอาไว้ล่วงหน้าครับ ใช้เวลาประมาณ 4 ชม. 🍱ดังนั้นหาซื้อข้าวขึ้นไปกินบนรถไฟกันนะครับ...
🏨🛌 ที่พัก Smile Hotel Hakodate จุดเด่นแค่เดินข้ามถนนมาจาก JR Hakodate ก็ถึงแล้ว แถมอยู่ติดกับป้ายรถเมล์อีก สะดวกสุดๆ ประหยัดงบ แต่ทุก รร. ที่นี่ ราคาเอาเรื่ิองอยู่ในช่วง summer ราคาประมาณ 2,900B/คืน แต่ต้องจองก่อนล่วงหน้านะไม่งั้นราคาไหลแน่นอน
📝 การเดินทางมาเมืองนี้ มีเป้าหมายหลักอยากขึ้นกระเช้าไปชมวิวบนภูเขา🚠⛰️ Mt.Hakodate มากๆ เรื่องรูปถ่ายแน่นอนว่าไม่มีทางถ่ายได้สวยเท่าในโปสการ์ดหรือ magazine แต่การได้เห็นด้วยตาตัวเองนี่สิมันกลายเป็นภาพที่สวยงามเมื่อได้นึกถึงมัน...
จริงๆแล้วการเดินทางภายในเมืองการใช้รถ 🚋tram ก็ไม่เลวนะ 1 day pass 600Y ไม่เมื่อยด้วย
🚶🚶แต่เราเลือกการเดินเท้าภายในเมืองเพราะมันมีเสน่ห์มากมาย ใช้เวลาแบบช้าๆ สองข้างทางมีอะไรให้น่าค้นหา พอถึงที่หมายมันจะว้าวววว...สถานที่ check-in ใน Hakodate มันไม่ไกลกันเลย ยกเว้น ถ้าต้องการไป Goryuokaku นั่ง tram ไปดีสุด




การเดินทางเราใช้ climb bus 🚌 ราคา 400Y/p/ครั้ง ขึ้นรถที่หน้าสถานี JR Hakodate ได้เลย (ไม่ค่อยเจอในรีวิววิธีการนี้เลย) ป้าย 2 ใช้เวลาแค่ 20 นาที รถจะมาส่งเราที่ยอดเขาจุดชมวิวเลย รอบรถคันแรก 17:15 p.m. first come first serve นะ อย่าลืมนำบัตรจากตู้อัตโนมัติด้วยนะเดี๋ยวคนขับดุเอา แล้วตอนลงเราก็ค่อยมาซื้บัตรนั่งกระเช้าลงขาเดียว 800Y

ขากกลับเดินชิลๆจาก Rope way มาเรื่อยๆก็มาเจอ ถนนมีอิฐแดงๆ แสงสีส้มสวยๆ เลยเปิดแผนที่ดูพบว่า เฮ้ย...นี่มันโกดังอิฐแดงที่เราอยากมากันนี่นา...ว่าแล้วก็ลุยถ่ายรูปกัยเลย การเดินเล่นนี่มันดีจริงๆทำให้เราได้เจอที่ที่เราไม่คาดคิดหลายอย่าง









ตื่นเช้ามาก็ออกมาลุยที่ตลาด Morning Market กันเลย อยู่ติดๆกับ JR Hokadate เดินไปไม่ไกลจากโรงแรมเรา Smile Hakodate ทำเลดีมากเลย



ขาปูยักษ์รสชาติสู้ปูบ้านเราไม่ได้แฮะ แต่ก็อยากลองกินดูให้รู้ โดนไปข้างละ 1,500Y


จริงๆก็อยากนั่ง Tram นะ แต่เดินดีกว่าดูจากแผนที่แล้วไม่ไกลกันมากนัก เดินนี่แหละมันส์ดี


ชอบฝาท่อระบายน้ำที่นี่จริงๆ เค้าจะมีการ paint สีต่างๆเอาไว้ในแต่ละสถานที่สำคัญๆ เราบังเอิญเจอแค่บางจุดเท่านั้น




เนิน Motomachi เป็นวิวที่สวยงามมากๆ ชอบวิวตรงนี้และบ้านเรือนแถวๆบริเวณนี้มันดูสวยงามมาก




กลับมาโกดังอฐแดงอีกครั้ง ตอนกลางวันที่นี่คึกคักกว่ากลางคืนมากๆ ทัวร์ลงเยอะเลย ร้านค้าทุกร้านจะเปิดขายในตอนกลางวัน พอหกโมงเย็นก็เริ่มทะยอยปิดละครับ





                            ที่นี่ร้านขายของฝากเพียบเลย มีทั้งของสด อาหารแห้ง และขนม


ร่วมทำกิจกรรมตอบคำถามสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่น ได้ของที่ระลึกมาด้วย เย้ๆๆๆๆ


มาทีร้าน Meijikan ที่นี่มีเครื่องแก้ว กล่องดนตรี และขนมให้เลือกอีกแล้ว ของเพียบอีกตามเคย



ตกกลางคืนก็ได้มีโอกาสเดินเล่นอีกด้านนึงของ Hakodate เดินเข้าไปทางใจกลางเมืองตรงถนน Matsukazecho พบว่าวัยรุ่นมากองรวมกันที่เทศกาลดนตรีหน้าร้อนที่ Hakodate ก็เลยได้มีโอกาสได้มันส์กับวง Hip-Hop Nobodyknows ปิดจบทริปของ Hakodate ได้สวยงาม จริงๆแล้วมีที่เที่ยวอีกหลายที่ที่เราไม่ได้ไป แต่แค่นี้เราก็อิ่มเอมกับ Hakodate และประทับใจกับที่นี่มากๆครับ



Day#6 : ตามหากล่องเพลง ที่คลอง Otaru
Otaru Music Box ▪️Sakaimachidori Shoping Street▪️Otaru Canal   

วันนี้เราเดินทาง 4 ชม. จาก Hakodate และลุยต่อที่ Otaru ใครมี Route อยากเดินเล่นแบบเราใช้แบบนี้ได้ครับจะไม่เปลืองแรง ให้ลงที่ Minami-Otaru สถานีดูเก่าหน่อยครับ แต่มี 7-11 นะ ให้เดินตรงออกจากสถานีตรง 3 แยก ตรงไปไม่ต้องเลี้ยวไหนทั้งนั้น เดี๋ยวจะมีทางบังคับเลี้ยวซ้ายให้เดินตามถนน ลงเขาไปเรื่อยๆ จะพบวิวที่เป็นยอดหลังคาของ Otaru Music Box ตรงนี้จะเป็นแยกที่เรียกว่า Marchen หลังจากนั้นก็จะพบกับนาฬิกาที่พ่นควันออกมาทุกๆ 15 นาทีข้างหน้าร้านกล่องเพลงก็เข้าไปได้เลยครับ ข้างในร้านกล่องเพลงสวย มีเสียงเพลงเพราะๆและน่าเอากลับไปหลายอย่างมากๆ ตรงกันข้ามก็เจอร้านขนม LeTAO ซึ่งเปิดสาขาที่ไทยแล้ว แต่อยากมาลองที่ต้นตำหรับมากกว่า...ใครสายของหวานมาแถวนี้กางเกงปริแน่ๆ เมื่อเดินตามถนนเส้นนี้ที่เรียกว่า Sakaimachidori Shoping Street ไปเรื่อยๆจะพบว่ามันมี LeTAO ทุกที่เลยเว้ยเฮ้ย...
เดินจนสุดถนนที่มี Lawson จะมีทางเลี้ยวขวาไปคลองโอตารุก็เดินตามไปก็จะเห็นทางที่คนเดินเยอะๆนั่นแหละถึงแล้วครับ...ทิวทัศน์รอบๆ องค์ประกอบข้างทำให้คลองนี้ดูมีเสน่ห์มากๆ คุ้มค่ากับการเดินเที่ยวมากมาย...



Hokkaido rail pass : Airport Rapid Train จาก Sapporo ไป Otaru วิวข้างทางระหว่างทางไป Otaru จะสวยมากๆ เพราะรถไฟจะขับลัดเลาะข้างภูเขาซึ่งเป็นด้านที่ติดกับทะเลวิวแจ่มจริงๆ แนะนำนั่งด้านขวามือติดกระจกครับ


นาฬิกาที่เป็นเอกลักษณ์ของ Otaru อีกที่ที่ตั้งอยู่ข้างหน้า Otaru Music Box มันเจ๋งมากตอนพ่นควันออกมา มีเสียงหวู๊ดด้วยนาาา




กล่องดนตรีหลายหลายรูปแบบ สามารเปลี่ยนเพลงได้ตามที่เราต้องการ สามารถเลือเพลงตัวอย่างและเปลี่ยนเพลงได้ที่ชั้น 3 ใครหลงใหลกับเสียงดนตรี แนะนำไม่ควรพลาด


Marchen crossection






มาถึงแล้วคลอง Otaru!!!!



บรรยากาศคลอง Otaru ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวแต่เมื่อสายตาเราโฟกัสแค่วิวที่อยู่ตรงหน้า เราก็ตัดความวุ่นวายออกไปได้ทันที สวยงามดูสงบมากในยามเย็นและสวยไปอีกแบบกับหน้าร้อนนี้ที่ Otaru...



งาน Art ก็มีให้เลือกซื้อไว้เป็นของที่ระลึก ส่วนตัวแล้วเราชอบงาน Handmade ดังนั้นไม่รีรอที่จะจัดสักหน่อย แค่100Y



Bye bye Otaru เตรียมกลับบ้านกันครับ ว้าแป๊บเดียวเที่ยวครบทุกที่ตาม plan แล้ว
มาเที่ยวครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าจริงๆ เราใช้เวลาในทุกๆวันกับการเดินทางด้วตัวเราเอง แต่เจออะไรใหม่ๆ หลงบ้างผิดทางบ้าง แต่มันก็เป็นเสน่ห์ของการเที่ยวด้วยตัวเองครับ....Lawsaon และ 7-11 คืออาหารที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา...เที่ยวไม่แพง กินไม่หรูอยู่ไม่แพง ก็สนุกได้ครับ...